ใกล้เข้าสู่ช่วง Low Season หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-18 ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้แนวโน้มเทรนด์ท่องเที่ยวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในปี 2568 นี้ เพราะถือเป็นช่วงที่ฟื้นตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยแนวโน้มเทรนด์ท่องเที่ยวล้วนแต่เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืน มีเอกลักษณ์ อย่าง..
การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จะได้รับความสนใจมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น ที่พักแบบ Eco-friendly การลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น เช่นการซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เป็นเทรนด์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยวคือการพักผ่อน โดยโรงแรมที่มีกิจกรรม หรือโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการดีท็อกซ์ร่างกาย จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
รวมไปถึงเทคโนโลยีในการท่องเที่ยว(Smart Tourism) ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น Chatbot ในการให้ข้อมูลและแนะนำแผนการเดินทาง การจองและชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล หรือการใช้ VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) เพื่อสร้างประสบการณ์จำลองก่อนเดินทาง ดังนั้นผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักทั้งหลาย ควรเตรียมใช้เทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อเพิ่มคุณค่าในการท่องเที่ยว ให้ตอบโจทย์แก่แนวโน้มเทรนด์ท่องเที่ยวในปี 2568 มากที่สุด
แต่ก่อนที่โรงแรมจะเข้าถึงเทคโนโลยีในการท่องเที่ยว และสามารถดึงผู้งานเข้ามาเป็นลูกค้าของโรงแรมได้ ควรเริ่มจากการตลาดพื้นฐานที่ทุกโรงแรม ‘ต้องทำ’ เพื่อ Lead ให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักโรงแรมมากขึ้นก่อน…
ทำให้ลูกค้าเสิร์ชเจอโรงแรมของคุณก่อนคู่แข่งได้ด้วย Search Engine Marketing(SEM) - เครื่องมือที่จะช่วยให้เสิร์ชโรงแรมของคุณเจอ แม้จะไม่รู้จัก.. เพียงผู้ใช้งานทำการเสิร์ชค้นหาคำบางคำ หรือคีย์เวิร์ดที่โรงแรมเฉพาะเจาะจง โรงแรมของคุณจะขึ้นหน้าแรกในการค้นหา
ข้อดีของการทำ SEM
✅ ช่วยเพิ่มการมองเห็นทุกช่องทาง เว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย
✅ กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการ
✅ เพิ่มการมองเห็นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ยอดจองห้องพักที่มากขึ้น
และเพื่อไม่ให้งบบานปลาย โรงแรมสามารถใช้กลยุทธ์การโฆษณาแบบจ่ายเงินต่อคลิก Pay Per Click (PPC) 📈
เพื่อ ‘คุมงบประมาณ’ ได้ตามต้องการ โดยค่าใช้จ่ายนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ใช้คลิกเข้าไปยังโฆษณาของคุณ แทนที่จะคิดเงินตามจำนวนคนที่เห็นเช่น หากโฆษณาของคุณถูกเห็น 1,000 ครั้งแต่ไม่มีคนคลิก คุณก็ไม่ต้องเสียเงิน เพราะจะคิดค่าบริการเฉพาะเมื่อมีการคลิกโฆษณาเท่านั้น
สุดท้าย แม้จะเป็นช่วง Low Season แต่โรงแรมยังควรทำ Social Media Marketing เพื่อให้ธุรกิจโรงแรมสามารถเข้าถึงแขกออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำการตลาดโปรโมทควบคู่ไป เช่น การทำโปรโมชัน, การประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว, และการโปรโมทงานอีเวนต์ในท้องถิ่น เพื่อกระตุ้นยอดขายออนไลน์ต่อไป