หลังจากที่บริษัท โซมาติก สตาร์ทอัพของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีโรงแรม หุ่นยนต์ AI ทำความสะอาดในห้องน้ำ ที่สามารถทำงานอัตโนมัติและสามารถทำได้ทุกอย่างไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้พนักงานชาวโรงแรมได้มีการกังวลเป็นอย่างมาว่าในอนาคตจะมีการทดแทนแรงงานมนุษย์ด้วยการใช้หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
วันนี้ Hotelsup จะพามาทำความรู้จักกับเจ้า AI (Artificial intelligence) เทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง ว่ามีหลักการทำงานอย่างไรทำไมเราถึงไม่ควรกังวลเกี่ยวกับมัน
เทคโนโลยี AI ทำงานอย่างไร ?
สรุปแบบง่าย ๆ คือ AI ทำงานด้วยการที่มนุษย์เอาข้อมูลที่มีการเตรียมไว้มาให้เรียนรู้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้หลักทางคณิตศาสตร์อย่างสถิติและความน่าจะเป็น ในการจัดกลุ่มข้อมูลและหาคำตอบ เพื่อให้ AI สามารถทำอะไรบางอย่างออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งในการสอน AI เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แต่ละอย่างได้นั้น จะอาศัยเทคนิค หรือวิธีต่าง ๆ เข้ามาช่วย อย่างที่เคยได้ยินกัน เช่น Machine Learning, Deeple Learning, Transfer Learning เป็นต้น
แล้ว AI จะแทนคนได้จริงไหมในอนาคต ?
“AI lacks of thinking outside the box” เป็นหนึ่งในจากหลายเหตุผลที่หลายคนต่างคิดว่า AI ไม่สามารถแทนคนได้ในตอนนี้ นั่นก็เพราะว่าการสอน AI คือการนำข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่แล้วมาให้ AI เรียนรู้แล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาผ่านการเรียนรู้ในเงื่อนไขที่มนุษย์กำหนด ในขณะที่หากเป็นการเรียนรู้ของมนุษย์ จะมีปัจจัยแวดล้อมมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ทำให้มนุษย์สามารถคิด วิเคราะห์ เกิดเป็นผลลัพธ์หรือไอเดียใหม่ๆ ได้มากกว่า
และยังมีข้อจำกัดเรื่องการเรียนรู้ของมนุษย์ ซึ่งในแต่ละวัน มนุษย์คนหนึ่งสามารถรับข้อมูลได้เฉลี่ย 34 GB หรือประมาณ 1 แสนคำต่อวัน (เทียบเป็นวินาทีแล้วอยู่ที่ 23 คำต่อวินาที) และหากเรียนรู้แล้วเกิดข้อผิดพลาดก็สามารถแก้ไขได้ในทันที
ในขณะที่หากเป็นการสร้าง AI ที่สามารถรับข้อมูลจำนวนมากเทียบเท่ามนุษย์ให้ได้นั้นต้องอาศัยระบบคอมพิวเตอร์ที่รองรับ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการเทรนข้อมูลเข้าไปให้มากที่สุด และหากมีการสอนที่ผิดพลาด ระบบจะต้องใช้เวลาในการแก้ไขนานกว่ามนุษย์ นั่นทำให้การใช้ AI แทนมนุษย์แบบ 100% อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
แม้จะมีข่าวสาร คอนเทนต์เกี่ยวกับสายอาชีพต่าง ๆ ที่มีโอกาสโดน AI เข้ามาแทน แต่ตามที่ Hotelsup ได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลมานั้น ไม่ใช่กับทุกสายอาชีพ เพราะยังมีสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ นั่นคืองานที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของมนุษย์อย่างชัดเจน เช่น ความฉลาดทางอารมณ์และการคิดนอกกรอบ และการย้ายเข้าสู่บทบาทที่เน้นทักษะเหล่านี้ อาจช่วยลดโอกาสในการถูกแทนที่ได้
เช่นเดียวกับงานโรงแรมที่แม้จะมีหุ่นยนต์ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือให้ทำงานง่ายขึ้น แต่ก็ยังต้องการมนุษย์เข้ามาควบคุม ดูแลหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีเหล่านั้นเช่นกัน ไม่ว่าจะ การบริหารโรงแรม ระบบการจัดการโรงแรม โปรแกรมบริหารโรงแรม จองโรงแรมออนไลน์ ฯลฯ ล้วนแต่ยังต้องการมนุษย์เข้ามาช่วยดูแล
ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมเฮนนะ ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงแรมที่โด่งดังด้วยการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ทำงานแทนคนในหลายหน้าที่ของงานโรงแรม แต่สุดท้ายหุ่นยนต์เหล่านี้ ยังคงทำงานแทนที่มนุษย์ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะมีรายงานว่าโรงแรมเฮนนะ ได้ตัดสินใจปลดหุ่นยนต์ในโรงแรมถึง 243 ตัว เนื่องจากหุ่นยนต์เหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดภาระการทำงานในโรงแรม แถมยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วย เช่น หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่ไม่สามารถตอบหลายๆคำถามของแขกได้ ทำให้พนักงานที่เป็นคนต้องเข้ามาตอบแทน แถมในเวลากลางคืน หากแขกกรนเสียงดัง หุ่นยนต์จะนึกว่าเป็นเสียงเรียก และส่งเสียงคุยตอบไป ซึ่งเป็นการรบกวนเวลานอนของแขก
ผู้บริหารโรงแรมเฮนนะเปิดเผยว่าหุ่นยนต์เหล่านี้ถูกนำมาใช้งานตั้งแต่ปี 2015 และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้หุ่นยนต์ของโรงแรมเริ่มล้าสมัย หากการต้องเปลี่ยนหุ่นยนต์เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีก็มีต้นทุนที่สูงมากเกินไป จึงทำให้ตัดสินใจลดการใช้หุ่นยนต์ในส่วนที่มีปัญหา และนำพนักงานที่เป็นคนเข้ามาทำหน้าที่แทน
บทสรุป หากสายงานโรงแรมจะมีการปรับเปลี่ยนนำหุ่นยนต์ AI หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ ซึ่งก็หมายความว่าโรงแรมนั้นจะต้องแบกรับในเรื่องต้นทุนที่สูง รวมถึงการบำรุงรักษาต่าง ๆ ในขณะที่สามารถเกิดขึ้นได้ยากกับโรงแรมขนาดเล็ก
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก : deeple , incontent , thairath